แต่ไหนแต่ไร ผมไม่เคยชอบฤดูร้อน ความชิงชังนี้มีเหตุผล 2 ประการคือ ฤดูร้อนเป็นห้วงเวลาของการปิดเทอม ผมรักห้องเรียนเกินกว่าจะยอมปลีกตัวห่างมันนานๆ เหตุผลอีกข้อต่อเนื่องมาจากการปิดเทอม เมื่อไม่มีห้องเรียนเป็นข้ออ้างเสียแล้ว ผมต้องทำงานจากบ้านถึงเรือกสวนไร่นามากเกินไป
พูดง่ายๆ คือ 3 เดือนของการปิดเทอมฤดูร้อนนี่คือ “งาน” ล้วนๆ ไม่มีจันทร์-ศุกร์มาคั่น ไม่มีห้องเรียนมาคุ้มหัว ไม่มีการบ้านให้ใช้เป็นข้ออ้าง
แต่พอถึงวันนี้ ผมชักจะมีเหตุผลในการชิงชังฤดูร้อนเพิ่มอีกข้อ อันเนื่องมาจากความร้อนประดุจไฟบรรลัยกัลป์ของดวงตะวัน
สัปดาห์ที่ผ่านมาผมต้องกระเตงกล้องถ่ายภาพทำงานในบรรยากาศครึ่งฟ้า ครึ่งน้ำ ครึ่งดิน ครึ่งแดด ลำพังงานเท่านี้อันที่จริงไม่ควรปริปากบ่นหรอกหากต้องเทียบกับกรรมกร ชาวไร่ ชาวนาที่อาบเหงื่อต่างน้ำทุกวี่วัน แต่ความร้อนเกินบรรยายนี้ก็หนักหน่วงเกินไปที่จะพูดว่า “ศรีทนได้”
มันเป็นการถ่ายภาพที่ร้อนที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิต ลมแน่นิ่ง ร่มเงาของต้นไม้ไร้ความหมาย เหงื่อจึงไหลอาบร่างราวกับหมูสามชั้นถูกขึงบนเตาถ่าน
เท่าที่มีชีวิตอยู่ ผมคิดว่าปีนี้ร้อนหนักหน่วงมาก ฤดูร้อนในวัยเยาว์ผมยังทำงานกลางแดดได้สบายๆ แต่หลายปีมานี้มันร้อนกระทั่งสามารถพรากชีวิตเราได้ง่ายๆ และผมสังเกตผ่านเครื่องวัดอุณหูมิทางความรู้สึกว่า ความร้อนของแต่ละปีมีแต่จะเพิ่มขึ้น
หลังลั่นชัตเตอร์ภาพนี้ที่ท่าเรือเมืองทวาย ผมวิ่งขึ้นรถพร้อมอาการร้อนผ่าวบนใบหน้า สายตาพร่า และแสบด้วยเหงื่อซึมเข้าดวงตา
นี่คือแดดร้อนในยุคสมัยของเรา
นึกต่อว่าแดดร้อนของคนรุ่นหลัง พวกเขาจะเกิดมาบนดาวเคราะห์ดวงนี้ด้วยชะตากรรมแบบใด ในเมื่อธรรมชาติเป็นพิษและเริ่มหาสมดุลไม่เจอ นึกถึงวันนั้นพวกเขาอาจมีเหตุผลในการเกลียดคิมหันต์ฤดูเป็นร้อยพัน