เขียนเมื่อ 02 Mar 2009
…..
กลับมาอีกครั้ง อย่างตั้งใจ หลังจากที่เงียบหายไปนาน แม้บางทีจะมาแบบแว๊บๆ มากะปริดกะปรอย มาน้อยๆ ทีละย่อหน้า ก่อนจะจากไปอย่างยาวนาน
อาการ อย่างนี้เขาเรียกว่าพวกแบตเตอร์รี่เสื่อม คือ มีไฟ แต่ไฟน้อย และไม่ค่อยจะเก็บพลังงานได้นาน ต้องหาเรื่องไปชาร์จแบตฯ อยู่เรื่อยไป
นั่งทบทวนตัวเองแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของกระแสสังคมเสียจริง สนใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพักเป็นช่วง ยิ่งนึกย้อนถึงสภาพความวูบวาบของกระแสยิ่งเห็นชัดเจนถึงอาการที่เป็นอยู่
พักเรื่องการเมืองสักหน่อย วันนี้ข้าน้อยจะจ้อเรื่องโลกร้อน
…………
หากยังจำกันได้ช่วงหนึ่งเราเคยตื่นเต้น ตกตะลึงกับความน่าสะพรึงกลัวของสภาวะโลกร้อน รัฐบาลนานาชาติต่างออกมาวิ่งเต้นแสดงจุดยืน วิสัยทัศน์ ในการร่วมประหยัดพลังงาน
ประเทศไทยของเราก็ไม่น้อยหน้า จัดแคมเปญปิดไฟสักครู่ เดี๋ยวกูกลับมาอยู่หลายรอบ โดยหารู้ไหมว่าการปิดไฟพร้อมกันทั้งเมืองแล้วเปิดพร้อมกันนั้น ทำให้เกิดการกระชากไฟอย่างรุนแรง และมันย่อมไม่ได้ลดการใช้พลังงานลงแต่อย่างใด
แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะเราทำเอาหน้า
…………
หลังกระแสหนังดังของอดีตรองประธานธิบดียูเอสเอ สร้างแรงกระเพื่อมอย่างต่อเนื่อง โลกหันมาสนใจการประหยัดพลังงาน และวาทกรรมเรื่องโลกร้อน ถูกหยิบยกขึ้นมาในวงเสวนาทั้งในระดับรากหญ้าจนถึงยอดเขาเอเวอร์เรส
พลังงานทดแทนถูกยกขึ้นมาแทนที่น้ำมัน แต่พอน้ำมันราคาลด ยัดแม่งก็กลับมาเหยียบคันเร่งผลาญน้ำมันเหมือนเดิม
นั่น แสดงให้เห็นว่า เราไม่ได้ต้องการลดการใช้พลังงาน แต่มันเป็นการลดภาระการใช้เงินของตัวเอง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่มีปัญญาจะเติมน้ำมันเสียมากกว่า
………….
ที่น่าขันที่สุดคงหนีไม่พ้น การใช้ถุงผ้าแทนพลาสติก
กระแส I’m not a plastic bag ที่นำมาสู่ถุงผ้าภิวัฒน์นั้นมาพร้อมกับกระแสแฟชั่น ไม่ว่าคุณจะผู้ดีตีนแดงหรือตะแคงตีนเปิ่ม ก็เห็นใช้ถุงผ้ากันทั้งนั้น
บริษัทห้างร้าน ออร์แกนไนเซอร์ นำถุงผ้ามาเป็นส่วนหนึ่งในของชำร่วย โดยมีข้อความต่างๆ นานาแปะหราอยู่ข้างถุง
ไปทุกงาน แจกทุกงาน แล้วนิสัยคนส่วนใหญ่ ปฏิเสธเป็นที่ไหนกันเล่า
แจกมาก็รับเสีย ไม่รับสิจะโดนด่าว่าเง่าโง่
มองดูรอบข้างตัวเองหน่อยบ้างปะไร เห็นถุงผ้าวางเกลื่อนกลาดทั้งที่ทำงาน ทั้งที่บ้านเล็กบ้านน้อย
ถามว่ามันประหยัดพลังงานลงตรงไหน
จริงละ ที่ถุงผ้าทนทานต่อการใช้อย่างยิ่ง สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้อีกร้อยครั้งพันครั้งตามแต่จะพอใจ แต่ถามหน่อยว่าการมีไว้หลายๆ ใบในคราเดียวมันจะช่วยลดปริมาณขยะได้สักกี่มากน้อย
ไม่กี่ปีมานี้ บริษัทอุตสาหกรรมสิ่งทอพลอยได้รับผลประโยชน์จากกระแสถุงผ้าเป็นอย่างมาก ขณะที่บริษัทห้างร้านต่างๆ ก็พลอยได้รับอานิสงค์ขายดิบขายดีตามไปด้วย และที่ได้หน้ากันหน่อยก็คือพวกที่ใช้วาทกรรมโลกร้อนในการเป็นส่วนหนึ่งของ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
บริษัทรถออกมาโฆษณาว่า เราใส่ใจสิ่งแวดล้อม ยัดแม่งถ้ามึงใส่ใจจริงมึงก็เลิกผลิตรถที่กินน้ำมันสิว่ะ …
ห้างหรูจัดแคมเปญลดราคาสินค้า ช่วยภาวะโลกร้อน นี่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการลดโลกร้อน …
สื่อออกมารณรงค์เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน เอาดารามาจ้อหน้าทีวีว่าลดโลกร้อนอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่เห็นมีใครทำจริง …
……………..
วาทกรรมโลกร้อน สะท้อนให้สังคมเห็นอะไร ถ้าคุณเห็นแต่ความศิวิไลซ์ของผู้คนร่วมโลกที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเช่นกันละก็ คงไม่ถูกต้องนัก เพราะภายใต้วาทกรรมขำเขรอะนั้น ถูกซ่อนไว้ด้วยสิ่งที่เป็นทุนนิยมร้ายกาจ
อเมริกันส่วนหนึ่งออก มารณรงค์เรื่องโลกร้อน แต่รัฐบาลของอเมริกันทั้งหมดกลับเลือกที่จะไม่ลงนามในสนธิสัญญาเกียวโต ว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ นั่นเพราะหมายเลข 1 ด้านการปล่อยของเสียสู่โลกนั้นเกรงว่าจะกระทบต่ออุตสาหกรรมของตน
มัลดีฟ ประเทศในฝันของหนุ่มสาวทั่วโลกเพิ่งประกาศเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ว่าเห็นทีคงต้องอพยพประชากรของประเทศ เนื่องจากน้ำทะเลเริ่มสูงขึ้น และจะท่วมพื้นที่อาศัยของคนในประเทศในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สำคัญกว่านั้นคือ มัลดีฟอาจจะหายไปจากแผนที่โลก
ก็แตกตื่นกันไป ก่อนหายเงียบ และที่สุดคำว่าโลกร้อน ก็เป็นเรื่องน่าเบื่อของคนในสังคม ไม่ต่างไปจากการประกาศสงคราม การเพิ่มกำลังทหาร การล่มสลายทางเศรษฐกิจโลก การต่อสู้ของพวกเหลือง – แดง การจ้อสร้างกระแสของทักษิณ ชินวัตร
………………
ครั้งหนึ่งเคยเห็นพ่อค้าคลองถม พยายามหยิบถุงพลาสติกมาใส่ถุงผ้าให้ลูกค้า นั่นก็น่าขัน
หลายครั้งเห็นพนักงานเซเว่นฯ พยายามหยิบถุงพลาสติกมาใส่หมากฝรั่งก้อนเท่าหัวแม่มือ นี่ก็น่าขัน (จริงๆ แล้ว 7-11 เนี่ยตัวดีนักเชียว)
คน กทม. พยายามขับรถหรูๆ เพื่อมาติดแหง็กบนถนน ก่อนบ่นด่าหมูหมาสารพัด ปล่อยรถเมล์ รถไฟ โล่งเปล่าคนขับรถเมล์เหงาแค่ไหน ถามกระเป๋ารถเมล์ดู แต่ละคู่มีหนูน้อยนั่งสลอนกันหน้ารถหลายต่อหลายคัน
ในงานมอเตอร์โชว์ นั่นก็เคยมียอดสั่งจองรถลดลงหรือไม่ คนเข้าไปในงานจนแทบทะลัก แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นชายผู้ข้นขลักไปด้วยสายตาปานจะกลืนกินพริตตี้ก็ตามที
สำรวจสังคมรอบข้างหน่อยครับ ว่าเจอเรื่องน่าขันแบบนี้กันบ่อยแค่ไหน
และสำรวจตัวเองอีกนิด ดูซิว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องน่าขันนั้นหรือไม่